6 สิ่งที่ควรรู้ก่อนสร้างบ้านในพื้นที่เสี่ยงแผ่นดินไหว
สวัสดีครับผู้เขียนได้เจอหนังสือของกรมโยธาธิการเกี่ยวกับการสร้างอาคารขนาดเล็กในพื้นที่เสี่ยงแผ่นดินไหวซึ่งมีประโยชน์มากๆสำหรับเพื่อนเพื่อนที่อยู่ในพื้นที่เสี่ยงแผ่นดินไหวได้แก่หลายจังหวัดทางภาคเหนือ ภาคกลางบางส่วน และภาคใต้บางส่วนจริงๆแล้วผู้เขียนว่าไม่ว่าจะอยู่ในจังหวัดไหนในประเทศเราควรจะรู้ข้อมูลเบื้องต้นนี้ไว้ดีที่สุดผู้เขียนจึงสรุปมาง่ายๆ 6 ข้อ ที่ทุกๆคนควรรู้ก่อนที่จะสร้างบ้านหรืออาคารในที่เสียงแผ่นดินไหว
1 ตำแหน่งที่ตั้งของอาคารในพื้นที่เสี่ยงแผ่นดินไหว
บริเวณที่ไม่ควรก่อสร้างอาคารได้แก่บริเวณที่เป็นเชิงลาดบริเวณใกล้แนวลอยเลื่อนและบริเวณที่ใกล้กับต้นไม้ใหญ่ดังที่แสดงในรูป
2 รูปทรงและลักษณะของอาคารในพื้นที่เสี่ยงแผ่นดินไหว
การออกแบบรูปทรงลักษณะของอาคารในพื้นที่เสี่ยงแผ่นดินไหวควรกำหนดให้เป็นแบบเรียบง่าย เช่น อาคารรูปทรงสี่เหลี่ยมหรือทรงกลมเป็นต้น ควรเรื่องการปลูกสร้างอาคารที่มีลักษณะเป็นมุมหัก ลองดูกันดังตามรูปนะครับ
3 ช่องเปิดของอาคารในพื้นที่เสี่ยงแผ่นดินไหว
สำหรับช่องเปิดของอาคารหากว่างขนาดและตำแหน่งของช่องเปิดไม่เหมาะสมจะเกิดพฤติกรรมการวิบัติของเสาสั้นหรืออาคารบางส่วนมีการเคลื่อนตัวมากเกินไปทำให้เกิดการแตกร้าวอย่างเช่นลักษณะตามรูปด้านล่างวิธีการแก้ไขควรทำเสาร์เอ็นและคาน / หลังคอนกรีตลอดช่องเปิดต่างๆให้มีความหนาเท่ากับความหนาของผนัง และขนาดความกว้างไม่น้อยกว่า 15 เซนติเมตรเพื่อป้องกันการแตกร้าวจากการสั่นสะเทือน
4 ระบบโครงสร้างของอาคารในพื้นที่เสี่ยงแผ่นดินไหว
4.1 ฐานราก
กรณีทีใช้ฐานรากเสาเข็มต้องมีการเชื่อมยึด ที่เพียงพอระหว่างฐานรากและเสาเข็ม และคำนึงถึงความสามารถในการรับแรงด้านข้างของเสาเข็มแต่ละต้นด้วย ตัวอย่างรายละเอียดการเสริมเหล็กในฐานรากเสาเข็ม ดังแสดง
อยู่ในรูป
กรณีที่ใช้ฐานรากแผ่จะต้องตั้งอยู่บนชั้นดินเดิมที่มีกำลังแบกทานสูง และต้องมีความมั่นคงแข็งแรงเพียงพอที่จะสามารถถ่ายเทน้ำาหนักจากโครงสร้างอาคารส่วนบนสู่ดินฐานรากได้อย่างปลอดภัย โดยขนาดความหนาขั้นต่ำสุดของฐานรากแผ่ต้องไม่น้อยกว่า 0.20 เมตร และมีระดับความลึกที่ฝังในดินจากระดับผิวดินถึงระดับต่ำาสุดของฐานรากไม่น้อยกว่า 1.00 เมตร
4.2 เสาตอม่อ
พื้นชั้นล่างของอาคารอยู่อาศัยบางหลังมีการยกพื้นให้สูงขึ้น และส่วนใต้พื้นบ้านชั้นล่างมีลักษณะเป็นใต้ถุนเปิดโล่ง ไม่มีการก่อผนังปิด ทำาให้เสาตอม่อของอาคารที่อยู่ระหว่างฐานรากและพื้นชั้นล่างไม่มีการยึดโยง
ที่เพียงพอ เมื่ออาคารเกิดการโยกตัวอย่างรุนแรงจากแผ่นดินไหว หากเสาตอม่อไม่สามารถทนต่อการโยกได้ก็อาจเกิดความเสียหายเป็นอันตราย การออกแบบจึงต้องมีการเสริมเหล็กให้เพียงพอในเสาตอม่อ รวมถึงอาจติดตั้ง ตัวยึดโยงหรือกำาแพงคอนกรีตเสริมเหล็กเพื่อให้เสาตอม่ออาคารอยู่อาศัยมีเสถียรภาพมากยิ่งขึ้น ดังตัวอย่างแสดงในรูป
4.3 เสา
สำหรับเสาของอาคารขนาดเล็กหรืออาคารอยู่อาศัยคอนกรีตเสริมเหล็กที่มีขนาดเล็กและสูงไม่เกิน 2 ชั้นขนาดของเสาไม่ควรน้อยกว่า 20 เซนติเมตร และพื้นที่หน้าตัดเหล็กเสริมตามยาวของเสาไม่ควรน้อยกว่าร้อยละ 1 และไม่ควรมากกว่าร้อยละ 6 ของพื ้นที ่หน้าตัดทั ้งหมดของเสา เหล็กเสริมตามยาวไม่ควรมีขนาดเล็กกว่า 12 มิลลิเมตร จำนวนไม่น้อยกว่า 4 เส้นและมีการเสริมเหล็กปลอกที ่มีระยะห่างไม่เกิน 10 เซนติเมตร ที ่บริเวณโคนเสาทั ้งด้านบน และด้านล่าง ของอเหล็กปลอกควรเป็นของอ 135 องศา ดังตัวอย่างแสดงในรูป
4.4 คาน
สำาหรับคานของอาคารขนาดเล็กหรืออาคารอยู่อาศัยที่มีความยาวไม่เกิน 5 เมตร หน้ากว้างของคานไม่ควรน้อยกว่า 15 เซนติเมตร เหล็กเสริมตามยาวไม่ควรมีขนาดเล็กกว่า 12 มิลลิเมตร และมีการเสริมเหล็กปลอก
ที่มีระยะห่างไม่เกินกว่า 10 เซนติเมตร ที่บริเวณปลายคานทั้งสองข้าง รวมทั้งส่วนปลายของอของเหล็กปลอกจะต้องมีระยะยื ่นไม่น้อยกว่า 6 เท่าของเส้นผ่านศูนย์กลางของเหล็กปลอก ของอเหล็กปลอกควรเป็นของอ 135 องศา ดังตัวอย่างแสดงในรูป
4.5 ข้อต่อระหว่างเสาและคาน
เหล็กเสริมตามยาวและเหล็กปลอกของเสาและคานจะต้องมีปริมาณเพียงพอในบริเวณข้อต่อระหว่างเสาและคานที่จะรัดรอบแกนคอนกรีต ทั้งนี้เพื่อให้เกิดความเหนียวและสามารถต้านทานแรงเฉือนที่เกิดขึ้น
จากแรงสั่นสะเทือนของแผ่นดินไหวได้ โดยระยะเรียงของเหล็กปลอกในเสาและในคานบริเวณข้อต่อดังกล่าวไม่ควรเกิน 10 เซนติเมตร และควรเพิ่มเหล็กปลอกในเสาบริเวณข้อต่ออีก 3 ปลอก ดังตัวอย่างในรูป
4.6 โครงหลังคา
การยึดส่วนต่างๆ ของโครงหลังคา ไม่ว่าจะเป็นหลังคา แป จันทัน อกไก่ หรืออเส จะต้องมีการยึดอย่างมั่นคงนอกจากนี้ควรทำการยึดโยง (Bracing) โครงหลังคาให้มีเสถียรภาพในการต้านทานแรงสั่นสะเทือนจากแผ่นดินไหว ตามตัวอย่างในรูป
5 ผนังก่ออิฐของอาคารในพื้นที่เสี่ยงแผ่นดินไหว
การก่อสร้างผนังก่ออิฐของอาคารจะต้องมีการยึดส่วนผนังเข้ากับส่วนที่เป็นโครงสร้างอาคาร อย่างมั่นคง และเป็นไปตามหลักปฏิบัติทางช่างที่ถูกต้อง ตามรายละเอียดดังต่อไปนี้
(1) ก่อนจะก่อผนังให้ราดน้ำบนอิฐที่จะก่อให้ชุ่ม เพื่อมิให้อิฐดูดซับน้ำจากปูนก่อมากเกินไป จนเป็นเหตุให้เนื้อปูนร่วนได้
(2) ผนังที ่ก่อต้องได้แนวทั ้งในแนวราบและในแนวดิ ่ง โดยการถ่ายระดับน้ำ ขึงเชือกเอ็น และใช้ดิ่งทุกความสูงไม่เกิน 50 เซนติเมตร การก่ออิฐแต่ละครั้งไม่ควรสูงเกินกว่า 1.00 เมตร และปล่อยทิ้งไว้อย่างน้อย 3 ชั่วโมง
จึงจะก่อต่อไปได้
(3) ปูนก่อระหว่างอิฐควรมีความหนาประมาณ 1 เซนติเมตร โดยปูนก่อจะต้องก่อเต็มหน้าแผ่นอิฐและแต่งแนวให้เรียบ
(4) ผนังที่ก่อชนเสาจะต้องมีการยึดผนังก่ออิฐเข้ากับเสา โดยจัดเตรียมให้มีการฝังเหล็กเสริมขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 6 มิลลิเมตร ไว้ในเสาทุกระยะ ห่างไม่เกิน 60 เซนติเมตร ยาวจากขอบเสาไม่น้อยกว่า 30 เซนติเมตร (ดังแสดงในรูป) หากไม่ได้มีการเตรียมฝังเหล็กเสริมไว้หรือฝังเหล็กเสริมไว้แต่ไม่ตรงแนวผนัง ให้เจาะรูสำหรับเสียบเหล็กเสริมโดยรูที่เจาะมีความลึกไม่น้อยกว่า 5 เซนติเมตรและเสียบเหล็กโดยใช้น้ำยาเคมีหรือกาวอีพ็อกซี่ ห้ามไม่ให้เจาะรูโดนเหล็กเสริมในเสา
(5) ผนังก่ออิฐที่ยาวเกินกว่า 3.00 เมตร จะต้องมีเสาเอ็น และผนังก่ออิฐที่มีความสูงเกินกว่า 2.50 เมตรจะต้องมีคานทับหลัง โดยเสาเอ็นและคานทับหลังต้องมีความกว้างไม่น้อยกว่า 15 เซนติเมตร มีความหนา
เท่ากับความหนาของผนังที่ก่อ และเสริมเหล็กตามยาวขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 9 มิลลิเมตร จำนวน2 เส้น และเหล็กปลอก (ลูกโซ่) ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 6 มิลลิเมตร ทุกระยะห่างไม่เกินกว่า 20 เซนติเมตร เหล็กเสริมตามยาวของเสาเอ็นหรือคานทับหลังให้ฝังลึกในโครงสร้างพื้ น คาน หรือเสา ซึ่งอาจทำได้โดยการฝังเหล็กเสริมในโครงสร้างเตรียมไว้ก่อนที่จะเทคอนกรีต หากไม่ได้มีการฝังเหล็ก เสริมดังกล่าวเตรียมไว้ ให้ใช้วิธีตามที่ระบุใน (4)
(6) มุมผนังก่ออิฐ หรือปลายผนังที่ก่อไม่ชนกับเสาหรือท้องคาน จะต้องมีเสาเอ็นหรือคานทับหลัง ที่มี ขนาดและรายละเอียดการเสริมเหล็กตามระบุใน (5)
(7) ไม่ควรก่อผนังอิฐที่จั่วหลังคา ควรใช้ผนังที่ทำจากวัสดุอื่นที่มีน้ำาหนักเบากว่า เช่น ไม้ ไม้สังเคราะห์ หรือ กระเบื้องแผ่นเรียบ
(8) การก่อผนังคอนกรีตบล็อก คอนกรีตประเภทมวลเบา หรือผนังสำเร็จรูปต่างๆ ให้เป็นไปตามมาตรฐาน หรือคำแนะนำของผู้ผลิตวัสดุนั้นๆ
6 วัสดุก่อสร้างอาคาร
วัสดุที่ใช้ในการก่อสร้างอาคารโดยเฉพาะส่วนโครงสร้างต้องมีความแข็งแรงและคงทน โดยทั่วไปอาคาร ที่มีน้ำาหนักน้อยจะได้รับผลกระทบจากแรงแผ่นดินไหวน้อยกว่าอาคารที่มีน้ำหนักมาก นอกจากนี้ต้องคำนึงถึง จุดเชื่อมต่าง ๆ ให้มีความสามารถในการถ่ายแรงได้อย่างสมบูรณ์ด้วย
ผู้เขียนได้สรุปง่ายๆจำนวน 6 ข้อให้เพื่อนเพื่อนลองตรวจสอบตามทั้ง 6 ข้อนี้ก่อนที่จะสร้างอาคารในพื้นที่เสี่ยงแผ่นดินไหวหากเพื่อนๆคนไหนไม่ได้อยู่ในพื้นที่เสี่ยงแผ่นดินไหวก็สามารถเสริมโครงสร้างของอาคารของท่านได้ซึ่งผู้เขียนหวังว่าประเทศไทยของเราก็คงจะไม่เกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหวรุนแรงเหมือนในต่างประเทศขอให้เพื่อนเพื่อนทุกคนตระหนักถึงความสำคัญกับภัยแผ่นดินไหวที่เข้าใกล้ตัวเรามาทุกขณะแล้ว
ที่มา – กรมโยธาธิการและฝังเมือง (http://www.dpt.go.th/images/stories/pdf/read/manual_buliding570915.pdf)