5 อันดับ “โครงการเอาอยู่” โซนน้ำท่วม ชี้ถ้าผ่านฝนนี้ได้ครึ่งปีหลังยอดกระฉูดแน่!

5 อันดับ “โครงการเอาอยู่” โซนน้ำท่วม ชี้ถ้าผ่านฝนนี้ได้ครึ่งปีหลังยอดกระฉูดแน่!

ช่วงนี้หลายพื้นที่ในประเทศไทยล้วนมีฝนตกชุกและบางพื้นที่เริ่มประสบกับปัญหาน้ำท่วมและน้ำป่าไหลหลาก ซึ่งนอกจากจะต้องระมัดระวังอันตรายจากน้ำไหลบ่าและดินโคลนถล่มแล้ว การเฝ้าสังเกตการณ์และเตรียมความพร้อมสำหรับน้ำท่วมก็เป็นสิ่งจำเป็นเช่นกัน แต่สำหรับพื้นที่ในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑลนั้น จากพยากรณ์อากาศประจำสัปดาห์คาดว่าจะมีฝนตกชุกในหลายพื้นที่มากขึ้น ทำให้บรรยากาศในการซื้อขายโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่เคยอยู่ในบริเวณที่น้ำท่วมมาก่อนกลายเป็นที่จับตาทั้งจากผู้ซื้อและผู้ประกอบการ

พื้นที่กรุงเทพฯรอบนอกและบริเวณจังหวัดนนทบุรี ปทุมธานี ที่เคยถูกน้ำท่วมอย่างหนักเมื่อปี 2554 ที่ผ่านมา ในปีนี้มีโครงการใหม่ๆในทำเลดังกล่าวจำนวนไม่น้อย ซึ่งการตอบรับจากตลาดแม้จะเงียบเหงาไปบ้าง แต่กระแสความสนใจและอัตราเข้าชมโครงการจัดสรรยังคงมีอย่างสม่ำเสมอ โดยโครงการที่ได้รับการตอบรับจากผู้บริโภคมากที่สุด 5 อันดับ ได้แก่

1. โครงการคอนโดมิเนียม “ดีคอนโด รัตนาธิเบศร์” (Dcondo Rattanathibet) โดยโครงการนี้มีฐานลูกค้าที่เหนียวแน่นอยู่แล้วจากแบรนด์ของ “แสนสิริ” ทำให้กระแสตอบรับจากลูกค้าเป็นไปตามมาตรฐานของแสนสิริที่ขายเกลี้ยงในระยะเวลาอันสั้น ซึ่งแม้ว่าที่ตั้งของโครงการจะอยู่บนถนนรัตนาธิเบศร์ ตำบลไทรม้า อำเภอเมือง จังหวัดนนทบุรี แต่ด้วยจุดเด่นที่เป็นโครงการแนวสูง ทำให้เป็นข้อได้เปรียบกว่าโครงการอื่นๆ โดย “ดีคอนโด รัตนาธิเบศร์” เป็นโครงการคอนโดมิเนียม สูง 8 ชั้น จำนวน 6 อาคาร มีแบบห้องแบบเดียวคือ 1 ห้องนอน พื้นที่ใช้สอย 28.5 ตารางเมตร จำนวนทั้งหมด 1,331 ยูนิต (เป็นห้องชุดเพื่อการพาณิชย์จำนวน 6 ยูนิต) ราคาเริ่มต้นที่ 9 แสนบาท

2. โครงการคอนโดมิเนียม “ซิตี้โฮม รัตนาธิเบศร์” ซึ่งเป็นโครงการแนวสูงของ บมจ.ศุภาลัย ที่มีจุดแข็งในด้านทำเลที่ติดถนนใหญ่ และใกล้รถไฟฟ้าส่วนต่อขยาย (บางซื่อ-บางใหญ่) ทำให้การตอบรับจากตลาดคึกคักพอสมควร โดยศุภาลัยพยายามขายจุดเด่นในเรื่องของที่ตั้งที่สะดวกในการดำรงชีวิตและการจัดสัดส่วนพื้นที่ของโครงการที่เน้นการมีพื้นที่เปิดโล่งเกือบ 80% และพื้นที่สีเขียวเกือบ 4,900 ตร.ม. บนพื้นที่กว่า 7ไร่ นอกจากนี้ยังมีการออกแบบอาคารในสไตล์ Modern Bali ด้วยโทนสีน้ำตาลครีม ซึ่งจำกัดจำนวนอาคารสำหรับโครงการเพียง 2 อาคารเท่านั้น เพื่อความไม่แออัดในการโครงการ ทั้งนี้โครงการ “ซิตี้โฮม รัตนาธิเบศร์” มีขนาดห้องให้เลือกตั้งแต่ 30.5-50 ตร.ม. โดยแบ่งเป็นห้องชุดสำหรับพักอาศัยตั้งแต่ชั้นที่ 3-24 จำนวน 1,232 ยูนิต พร้อมตกแต่ง Roof Garden บนชั้นดาดฟ้าชั้นที่ 24 สำหรับชมทิวทัศน์อีกด้วย ราคาขายเริ่มที่ 1 ล้านบาทต้นๆ

3. โครงการ “ลุมพินี คอนโดทาวน์” นิด้า-เสรีไทย 2 โดยโครงการนี้มีแบรนด์ที่แข็งแกร่งของ LPN เป็นปัจจัยสำคัญ ซึ่งแม้ว่ารูปแบบห้องจะมีขนาดเล็กที่ 22-26 ตรม. แต่จากการโหมทำโปรโมชั่นทั้งผ่อน 0% นาน 3 ปี ตกแต่งเฟอร์นิเจอร์พร้อม และจองขั้นต่ำเพียง 999 บาท ทำให้กระแสตอบรับในตลาดยังไม่ถึงกับเงียบเหงาจนเกินไปนัก โดยตัวโครงการเป็นอาคารชุดพักอาศัย สูง 8 ชั้น 2 อาคาร และอาคารสูง 5 ชั้น 4 อาคาร มีส่วนนันทนาการ ทั้งสนามเด็กเล่นและสวนพักผ่อน มีจำนวนห้องชุดพักอาศัย 691 ยูนิต และแบ่งเป็นห้องชุดร้านค้าอีก 5 ยูนิต โดยโครงการนี้สร้างเสร็จเรียบร้อยพร้อมเข้าอยู่ได้ทันที

4. โครงการ “พฤกษาวิลเลจ” โครงการบ้านเดี่ยวในเครือพฤกษา ซึ่ง บมจ.พฤกษาฯ หลังจากที่โดนพิษจากน้ำท่วมเมื่อปีที่แล้วมาอย่างสาหัสสากรรจ์ ปีนี้จึงเร่งโหมจัดแคมเปญ “ท่วมปั๊บรับเงินแสน” สำหรับลูกค้าที่จองซื้อบ้านพฤกษาวิลเลจทุกซีรีส์ ไม่ว่าจะเป็น The Season , Scenery และ Delight ในโซนรังสิต ลำลูกกา บางใหญ่ และบางบัวทอง โดยหากเกิดน้ำท่วมอีกภายในปีนี้ บริษัท พฤกษาฯ จะจ่ายค่าชดเชยมูลค่า 50,000 – 100,000 บาท เพื่อให้สร้างความมั่นใจให้กับลูกค้าและเป็นการกระตุ้นการตัดสินใจซื้ออีกด้วย ซึ่งแน่นอนว่าจุดเด่นของพฤกษาฯ อยู่ที่ราคาและการก่อสร้างที่เสร็จเร็ว ทำให้พฤกษาฯครองตลาดอสังหาฯระดับกลาง-ล่างได้อย่างยาวนาน แต่จากผลกระทบเหตุอุทกภัยเมื่อปี 2554 ที่ผ่านมา ทำให้พฤกษาฯ ต้องเร่งเรียกความเชื่อมั่นจากลูกค้าคืนมาให้ไวที่สุด จึงไม่น่าแปลกใจที่พฤกษาฯจะเร่งโหมทั้งแคมเปญพิเศษ และการถมปรับที่ดินโครงการให้สูงเพิ่มขึ้นอีกกว่า 1 เมตร เพื่อสร้างความมั่นใจให้ลูกค้ามากขึ้น โดยยังคงราคาขายเดิมไว้ที่ 2 ล้านบาทในการขายโครงการในโซนดังกล่าว

5. โครงการศุภาลัย วิลล์ ราชพฤกษ์-บางบัวทอง ซึ่งสิ่งที่น่าจับตามากที่สุดคือทำเลเส้นถนนราชพฤกษ์ที่ฟื้นตัวจากน้ำท่วมได้เร็วเกินคาด เมื่อบวกกับมาตรการป้องกันน้ำท่วมของศุภาลัยที่ถมดินโครงการให้สูงกว่าเดิมอีก 1.6 เมตร และเพิ่มการทำประตูน้ำในตัวระบายน้ำที่จะระบายออกไปข้างนอก ทำให้ลูกค้ามีความมั่นใจเพิ่มมากขึ้น นอกจากนี้โครงการใหม่ของศุภาลัยจะมีการปรับระดับปลั๊กให้สูงขึ้นที่ระยะความสูงประมาณ 1 เมตร เพื่อป้องกันการเกิดไฟฟ้าช็อตหากเกิดกรณีน้ำท่วมอีกด้วย จุดเด่นอีกประการของ “ศุภาลัยวิลล์ราชพฤกษ์-บางบัวทอง” คือ การเดินทางที่สะดวกและเชื่อมต่อกับถนนหลายสาย อาทิ ถนนราชพฤกษ์, ถนนรัตนาธิเบศ หรือถนนตลาดบางบัวทอง เป็นต้น โดยโครงการ“ศุภาลัยวิลล์ราชพฤกษ์-บางบัวทอง” มีทั้งบ้านเดี่ยวและบ้านแฝด ราคาเริ่มที่ 2 ล้านบาทต้นๆ

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าโครงการที่อยู่อาศัยในพื้นที่น้ำท่วมเมื่อปีที่แล้วยังคงอยู่ในสภาวะที่เรื่อยๆมาเรียงๆ และโครงการประเภทแนวสูงดูเหมือนจะฮอตฮิตติดกระแสตลาดมากกว่าโครงการจัดสรรแนวราบ แต่โครงการแนวราบก็ใช่ว่าจะเสียเปรียบโครงการแนวสูงเสมอไป เพราะกลุ่มลูกค้าที่ยังต้องการบ้านที่มีพื้นที่ใช้สอยมากก็ยังคงมีอยู่ในตลาดอย่างต่อเนื่อง และที่สำคัญมีกำลังซื้อที่พร้อมจะจ่ายได้มากกว่า ดังนั้นตัวแปรที่สำคัญคือ ความเชื่อมั่นเกี่ยวกับปัญหาอุทกภัย ซึ่งถ้าหากผู้ประกอบการสามารถเรียกความเชื่อมั่นจากลูกค้ากลุ่มนี้ได้ เชื่อได้ว่าตลาดแนวราบจะสามารถเติบโตได้ไม่แพ้โครงการแนวสูง ถึงแม้จะเป็นในทำเลที่เคยโดนน้ำท่วมมาแล้วก็ตาม

สุดท้ายแล้วปีนี้ก็จะเป็นอีกหนึ่งบทพิสูจน์ว่า คนไทยจะใช้บทเรียนมูลค่ามหาศาลจากเหตุอุทกภัยครั้งใหญ่เมื่อปี 2554 ได้มากน้อยแค่ไหน โดยเฉพาะภาครัฐและผู้ประกอบการที่มีโครงการต่างๆในพื้นที่ที่เคยประสบภัยน้ำท่วมเมื่อปีที่ผ่านมา ซึ่งถ้าหากว่าปีนี้รัฐบาลยังเอาไม่อยู่ และผู้ประกอบการอสังหาฯยังจัดระบบมาตรฐานจัดการน้ำได้ไม่ดีพอ ทำเลโซนน้ำท่วมก็คงจะกลายเป็นโซนบัญชีดำในตลาดอสังหาฯแบบถาวร
ที่มา – thaicontractor.com

5 อันดับ “โครงการเอาอยู่” โซนน้ำท่วม ชี้ถ้าผ่านฝนนี้ได้ครึ่งปีหลังยอดกระฉูดแน่!

Posted using Tinydesk Writer iPhone app